อุทยานผักพื้นบ้านฯ บึงฉวาก

บึงฉวาก จังหวัดสุพรรณบุรี นี่ช่างกว้างใหญ่ซะเหลือเกิน เห็นว่า มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,700 ไร่เชียวนะเนี่ย นอกจากจะมีสัตว์บก สัตว์น้ำนานาชนิดให้ได้ชมและเรียนรู้กันแล้ว ยังมี "อุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพ เฉลิมพระเกียรติ" ที่อยู่ในความดูแลของกรมส่งเสริมการเกษตรให้ได้เยี่ยมชม ศึกษาเป็นความรู้อีกด้วย


อุทยานผักพื้นบ้านฯ ...หากใครขับรถมา ก็มีลานจอดรถอยู่ด้านหน้าเลย มีร่มไม้ให้ได้บังแดด ถึงจะไม่เหมือนลานจอดรถที่มีหลังคา แต่แค่ร่มไม้ก็ใช้ได้แล้ว ... จอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาที่ทางเข้าชมอุทยานผัก ... อากาศร้อนๆ แบบนี้ ถ้าคิดจะเดินชม คาดว่าจะคิดผิดอย่างมหันต์ ... มองยานพาหนะพาชมสวนดีกว่า ... ว่าแล้วก็เหลือบไปเห็นรถรางวิ่งออกมาจากอุทยาน มีผู้โดยสารนั่งอยู่กลุ่มหนึ่ง รถรางเคลื่อนออกมากลับรถ แล้วก็ไปจอดรถบริเวณซุ้มทางเข้า ... นึกในใจสงสัยเราจะตกรถรางเที่ยวนี้ซะแล้ว เดินรีๆรอๆ เห็นมีคนอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งไปขึ้นรถราง ... อื้ม! พอมีหวัง เราก็รีบเดินกันไป โชคดีจริงๆ เจ้าหน้าที่กำลังเดินเก็บค่าโดยสารอยู่พอดี เราก็กระโดดขึ้นรถรางเลย ...



เจ้าหน้าที่บอก "ท่านละ 10 บาทครับ" ... ถูกเชียว! ว่าแล้ว เหรัญญิกของเราก็จ่ายค่าโดยสารไป 30 บาท จากนั้น ก็เริ่มต้นออกเดินทางชมสวน ... เจ้าหน้าที่ผู้ที่เก็บสตางค์ค่าโดยสาร ก็คือ พลขับ และมัคคุเทศนำทางนั่นเอง ... แหม! 3-in-one เชียวนะเนี่ย ... รถรางพาเราชมพันธุ์ไม้นานาชนิด มีฟัก แฟง ต่างๆ น่าตาแปลกๆ ให้ผลทั้งใหญ่ ทั้งยาว ปลูกได้เก่งจริงๆ รถรางก็ลัดเลาะสวนไปเรื่อยๆ ตามเส้นทาง มัคคุเทศก็บรรยาย ให้ความรู้กับพวกเราในเรื่องของพันธุ์ไม้แปลกๆ ที่ปลูกเรียงรายอยู่ในสวน ตลอดทั้ง 2 ฝั่ง ถนนยาวคดเคี้ยวไปเรื่อยๆ แดดร้อนระอุจริงๆ ต้นไม้ที่มีชื่อประหลาดๆ เช่น ต้นซาดิส ... ต้นเถ้าแก่ตีเมีย (ทำนองเนี่ย) เป็นต้น

เมื่อรถรางมาถึงบริเวณกรงผีเสื้อ ... มัคคุเทศก็หยุดรถ และบอกให้เวลาเราลงไปชมผีเสื้อ และซุ้มไม้เลื้อย ที่มีน้ำเต้า ฟัก ... โดยให้เวลา 5 นาที มีผู้โดยสารร้องออกมาว่า "โอ้ย! 5 นาที เดินลงจากรถรางก็หมดเวลาแล้ว" มัคคุเทศอารมณ์ดี บอกว่า "มากกว่า 5 นาทีซักนิดก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน"


เรากระโดดลงจากรถราง เดินผ่านม่านโซ่ชั้นที่ 1 ผ่านประตูกระจก และผ่านม่านโซ่หนักๆ ชั้นที่ 2 เพื่อเข้าสู่สวนผีเสื้อ มองซ้าย มองขวา ก้มๆ เงยๆ อื้ม! ไม่เจอผีเสี้อซักตัว เฮ้อ! ... ลองเงยหน้าขึ้นไปด้านบน อู๊ย! บินกันอยู่ติดหลังคา 2-3 ตัว แย่เลย ... ออกดีกว่า! เดินไปดูซุ้มไม้เลื้อย ได้ภาพน้ำเต้ามาฝาก 1 ลูก ...ลูกใหญ่เป้งเลยนะเนี่ย จริงๆ มีอีกเยอะ ห้อยกันกระโตงกระเตงเลย ปลูกได้งามจริงๆ ... ผู้โดยสารทั้งหมดก็ลงเดินถ่ายภาพกันเป็นการใหญ่ โอ๊ย! ร้อนสุดๆ .. เรากลับมานั่งคุยกันที่รถราง หาร่มพักกันดีกว่า แดดเปรี้ยงเลย นึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนจะแค่ไหนเนี่ย บรื้อ! ไม่อยากคิด

พอได้เวลา ทุกคนกลับมาที่รถครบแล้ว ... รถรางก็พาเราชมสวนต่อไป มัคคุเทศบรรยายให้ความรู้ ปนมุขเล็กๆ ให้ได้ขำ ... ชื่อต้นไม้บางต้นแปลก และตลกมา รวมทั้งมีตำนานเรื่องเล่าด้วยนะ ไม่ธรรมดาเลย ....




หลังจากที่ชมสวนครบแล้ว ก็กลับมายังจุดเริ่มต้นอีกรอบ ... เราก็ลงเดินไปแวะอุดหนุนผักปลอดสารพิษ ที่กลุ่มชาวบ้านมาเปิดซุ้มขายอยู่ด้านหน้า เราซื้อผักชื่ออะไรไม่รู้ เห็นคุณป้าที่ขายบอกว่า ทำเป็นผักสลัดก็ได้ หน้าตาคล้ายผักกาดแก้ว หรือจะต้มจืดก็ได้นะ อุดหนุนชมพู่คุณป้ามา 1 ถุง ถามคุณป้าว่าทั้งหมดราคาเท่าไร คุณป้าว่า "20 บาทจ้ะ... ถุงละ 10 บาท" ... โอ๊ย! คุณป้า ทำไมขายถูกแบบนี่แหล่ะ ...

ป้าตอบได้อย่างน่าเอ็นดูว่า "เศรษฐกิจพอเพียงจ้ะ... ขายให้พออยู่ได้ ก็พอแล้ว" .... น่ารักซะไม่มีล่ะ

เดินต่อไปร้านสุดท้าย ขายมะม่วง ก็อุดหนุนมาหลายกิโล เหลือบไปเห็นคุณลุงหาบ "ขนมข้าวเกรียบว่าว" ถุงใหญ่ๆ (ไม่รู้เรียกว่าแบบนี้หรือเปล่า) ก็เลยอุดหนุนมาอีก 2 ถุง .... เฮ้อ! ครบถ้วนกระบวนความ ได้เวลาอันสมควรแล้ว เดินทางกลับได้ ... กะว่าขากลับกรุงเทพฯ จะแวะ "ชม...ตลาดร้อยปี สามชุก" ซะหน่อย ... ทางผ่านน่ะ


ถ่ายภาพ - เล่าเรื่องโดย: ครูเจี๊ยบ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ้านเหนือรุ่งอรุณ จ.พิษณุโลก

หมู่บ้านดอนมัน จ.มหาสารคาม

ตลุยบึงฉวาก สุพรรณบุรี